วิธีอ่านเซอร์ GIA ของเพชรสำหรับเลือกใช้ในแหวนแต่งงาน
อ่านเซอร์เพชรของแต่ละเม็ดนั้นไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่เราเข้าใจความหมายของแต่ละอย่าง ซึ่งจะช่วยได้เยอะมากเวลาต้องการเทียบราคาของเพชรแต่ละเม็ดค่ะ เพราทุกบรรทัดมีผลต่อราคาเพชรแต่ละเม็ดค่ะ มาดูแต่ละบรรทัดเลยค่ะ
GIA Report Number : เลขนี้เปรียบเสมือนเลขประจำตัวของเพชรแต่ละเม็ดค่ะ เพื่อให้รู้ว่าเซอร์นี้เป็นรายละเอียดของเพชรเม็ดไหน โดยเลขนี้จะเลเซอร์อยู่ที่ขอบของเพชรเม็ดนั้นๆ เราจะสามารถเห็นได้เมื่อใช้กล้องขยาย 10 เท่าขึ้นไป หรือถ้ามีความชำนาญสามารถอ่านโดยใช้กล้องส่องเพชรแบบพกพาได้ค่ะ **จากรูปทางแอดมินได้ทำการลบเลขสองตัวหลังและแทนด้วย XX นะคะ**
Shape and Cutting Style : ส่วนนี้จะระบุว่าเพชรเม็ดนี้คือทรงอะไรค่ะ ตามตัวอย่างคือ Round Brilliant หมายถึงเม็ดนี้เป็นทรงกลม brilliant cutค่ะ(brilliant cut คือชื่อของการเจียระไนแบบมาตรฐานตามสมัยใหม่มีทั้งหมด 57–58เหลี่ยม)
Measurement : ส่วนนี้จะระบุสัดส่วนของเพชรเม็ดนี้ ความกว้าง, ยาว, และส่วนสูงเป็นหน่วย มิลลิเมตร
Carat weight : คือน้ำหนักของเพชรเม็ดนี้ว่าน้ำหนักกี่กะรัต วิธีเช็คง่ายๆอีกวิธีนึงถ้าเราไม่มีกล้องส่องดูเพชรก็คือลองชั่งน้ำหนักดูค่ะว่าตรงกับใบเซอร์ไหม ซึ่งราคาเพชรของแต่ละขนาดจะแตกต่างกันค่อนข้างมาก ยิ่งเพชรน้ำหนักเยอะความหายากก็เพิ่มมากขึ้นค่ะ โดย1 กะรัตเท่ากับ 100 สตางค์ หากเล็กกว่านั้นเราจะเรียกว่าสตางค์
เช่น 0.50 กะรัต เท่ากับ 50 สตางค์
0.30 กะรัต เท่ากับ 30 สตางค์ค่ะ
Color Grade : สีของเพชรหรือที่คนไทยเรียกกันว่าน้ำค่ะ โดยจะเริ่มจาก D color(น้ำ100) และไล่ไป E(น้ำ99), F(น้ำ98), G color (น้ำ97)จนถึง Z (เป็นช่วงสีของเพชรขาว) โดยทางด้านขวาของเซอร์จะมีลำดับของสีเรียงไว้ให้ดูค่ะ จากเซอร์ด้านบนนี้คือ H color หรือน้ำ96นั่นเอง
สำหรับสีของเพชรจะไม่เกี่ยวกับประกายของเพชรเลยนะคะ เป็นเพียงสีหรือความขาวของเพชรโดยทางร้านแนะนำว่าหากต้องการเพชรที่ไม่เห็นสีนวลให้ใช้น้ำ 96 ขึ้นไปค่ะ
Clarity grade : คือความสะอาดของเพชร โดยเม็ดนี้คือ VVS2 ความสะอาดที่แนะนำให้ใช้แนะนำตั้งแต่ VS1 ขึ้นไปจนถึง FL เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่าต้องใช้แว่นขยาย 10 เท่าขึ้นไป จากตารางด้านล่างคือตำหนิที่สามารถเห็นได้สำหรับเพชรแต่ละเกรดเมื่อส่องกล้องขยาย 10 เท่าขึ้นไปค่ะ
แต่หากต้องการคุมงบไม่ให้สูงจนเกินไปแนะนำว่าใช้เกรดประมาณ VVS1-VS2 ก็ค่อนข้างสวยมากแล้วค่ะ
Cut grade : เกรดของการเจียระไน เป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆนะคะ แต่หลายๆคนมักจะมองข้ามแลัสนใจเฉพาะสีของเพชร เกรดของการเจียระไนซึ่งจะเป็นความสามารถของเหลี่ยมเพชรที่เจียระไนแล้วสามารถทำให้ไฟสะท้อนกลับ(หรือประกายวิบวับดี) ได้มากแค่ไหนโดยเรียงลำดับจาก Excellent , very good, good, fair, poor โดยเม็ดนี้ได้เกรด Excellent ค่ะคือดีที่สุด
Polish : ตัวนี้คือเกรดของการเจียระไนคล้ายๆกับการขัดเงารอบนอกของเพชรว่าเรียบร้อยแค่ไหนโดยมีเกรดเรียงลำดับกันเหมือนตัวCut Grade ค่ะ สำหรับตัวอย่างเม็ดนี้ได้เกรด Excellent ค่ะ
Symmetry : ตัวนี้หมายถึงความเท่ากันของแต่ละเหลี่ยมที่เรียงกันแต่ละส่วน ซึ่งจะมีส่วนที่จะทำให้เพชรสะท้อนไฟกลับคืนมาได้เยอะแค่ไหนค่ะ ตามตังอย่างเม็ดนี้จะได้เกรด Excellent ค่ะ
โดยสามปัจจัยนี้ Cut grade, Polish, และ Symmetry นี้รวมกันได้ excellent ทั้งหมด จึงจะเรียกได้ว่า Triple excellent (3EX)นั่นเองค่ะ
เพชรของร้าน Gems Heritage สำหรับเพชรกลมทุกเม็ดเราเลือกใช้เฉพาะเกรด 3 Excellent ซึ่งจะการันตีได้ว่าเพชรสวยเปล่งประกายมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ค่ะ
Fluorescence : ระบุว่าเม็ดนี้มีแสงฟลูโอเรสเซนส์เมื่อโดนแสงยูวีรึเปล่า ซึ่งตัวนี้ตามปรกติแล้วเม็ดที่ไม่มีแสงฟลูโอเรสเซนต์เหมือนตามตัวอย่าง (None) ราคาก็จะสูงกว่าเม็ดที่มีค่ะโดยถ้าเม็ดไหนมี level ของ Fluorescence สูงราคาก็จะถูกลงเรื่อยๆ เพราะตัวนี้อาจจะมีผลกระทบกับความสวยของเพชรได้ค่ะ เช่นถ้ามีในปริมาณที่สูงอาจจะทำให้เพชรดูขุ่นๆได้ แต่ไม่ใช่ทุกกรณีค่ะ จะเป็นเม็ดๆไปค่ะ
Inscription : หมายถึงตัวที่ทางGIA ได้เลเซอร์ไว้ที่ขอบเพชรโดยจะเริ่มด้วย GIA และตามด้วยหมายเลข report number นั่นเองค่ะ
เซอร์ของบางเม็ดจะระบุ Clarity characteristics ไว้ด้วย หมายถึงว่าตำหนิของเพชรเม็ดนี้คืออะไร เช่น pinpoint, cloud, feather และอื่นๆ
หากเป็นเซอร์ของเพชรเม็ดใหญ่หน่อยก็จะมีรูปส่วนด้านหน้าและด้านหลังของเพชรและมีตำแหน่งตำหนิของเพชรระบุไว้ให้โดยใช้สัญลักษณ์และเขียนกำกับไว้ให้ด้านล่างค่ะ
ทีนี้ก็อ่านเซอร์เพชรได้ง่ายๆและเข้าใจแต่ละจุดของเพชรแต่ละเม็ดได้ดีขึ้นด้วย จะซื้อเพชรแต่ละเม็ดก็ไม่ยากแล้วค่ะ :)